วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิธีการการจับสัดในโค มันมีมากมายหลายวิธีนะเอออ(พื้นฐานการได้ลูกวัวจากการผสมเทียม2)

   

Pedometerไว้ใช้จับสัดวัวครับ


    หลังจากที่พวกเราได้เรียนรู้ว่าวัวมีวงรอบการเป็นสัดได้ยังไง  แล้วทีนี้จะมาดูว่าช่วงการเป็นสัด ช่วงไหนที่เหมาะที่สุดแก่การผสมเทียมและ สมัยนี้เขา มีการตรวจ จับสัดกันยังไงบ้าง  หลายๆอย่างผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเมื่อก่อนเรามักคิดว่าเอาตาดูไปนั่นแหละแต่สมัยนี้ เขาใช้เทคโนโลยีกันแว้วว  ไม่ต้องดูวัวไปเดินกินข้าว ชอปปิ้ง ดู หนัง กลับมาเปิดมือถือดูเลยตัวไหนเป็นสัด  เอ้อ เอากะเขาสิ
    ก่อนอื่นมาเข้าดูอาการเป็นสัดของวัวก่อนนะครับ  โดยอาการวัวที่เป็นสัดจะมีดังนี้
อาการของโคที่เป็นสัดที่เรามักจะเห็นกันคือ
ทางกายภาพ(ใช้ตาดูสำรวจที่ร่างกายวัว)
        อวัยวะเพศบวมแดง เมือกใสไหลเยิ้ม  เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่จะทำให้เส้นเลือดบริเวณนี้ขยายตััว    มีร่องรอยถลอกบริเวณบั้นท้าย เกิดจากโดนวัวตัวอื่นไล่ขี่
         แล้วถ้าเรามาล้วงคลำจะพบว่า คอมดลูกมีการแข็งเกร็งตัว   ปากมดลูกเปิดเล็กน้อย  อันนี้ก็เป็นอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกเช่นกันครับ
ทางพฤติกรรม
         กระวนกระวาย สนใจโคตัวอื่น ร้องบ่อย กินอาหารน้อยลง  ตรงนี้มีความสำคัญนะครับเพราะมีการใช้พฤติกรรมตรงนี้มาใช้จับสัดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิคเรียกว่าPedometer ตอนท้ายๆจะเฉลยให้ดู
     ช่วงต้นจะไล่ปีนโคตัวอื่น  แต่ตอนท้ายจะยืนนิ่งให้ตัวอื่นขี่ ซึ่งระยะยืนนิ่งนี่ละครับ เราเรียกStanding Heat (ระยะยืนนิ่ง)เมื่อจับระยะนี้ได้แล้วให้นับไป12-18ชม.แล้วผสมจะดีที่สุดครับ สมัยก่อนเขาเรียกว่า นาทีทอง
โดยวัวจะมีลำดับขั้นตอนการเป็นสัดดังนี้ครับ
การเป็นสัดช่วงแรก(Primary Sign)   
วัวที่เป็นสัดจะชอบยืนเอาคางไปเกยวัวตัวอื่น ทำท่าจะปีนวัวตัวอื่นเขา พร้อมกับเริ่มมีน้ำเมือกใสๆออกมา  
การเป็นสัดช่วงสอง(Secondary Sign)   
วัวที่เป็นสัดจะกระวนกระวายมากขึ้น  ขี่ตัวอื่นมากขึ้น  อวัยวะเพศบวม  ด้านหลังกับช่วงสวาปจะมีรอยเลอะเพราะโดนตัวอื่นไล่ขี่  
  ซื่งช่วงเวลาที่เราต้องการคือระยะยืนนิ่งหรือStanding Heat นี่เองเพื่อนับชั่วโมงทำการผสมเทียม
cr.กรมปศุสัตว์
       มีคลิปวีดีโอมาให้ดูด้วยครับเรื่องการจับสัด Sound track ต้อนรับ AEC

วิธีการจับสัดมีหลายแบบมากครับ  เริ่มจากพื้นๆแบบที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย แค่ตามองวัวกับปากกาจด ยันไปถึงตาไม่ต้องวัว ไปดูเอาในมือถือเอา  อิอิ
1.การใช้หลักการบันทึกการเป็นสัด
-การจับสัดโดยการสังเกตุอาการ ด้วยคน  ใช้ตามอง กับปากกาจด บันทึกข้อมูลว่าเป็นสัด วันไหน กี่โมง  อาการเป็นยังไง  โดยวิธีนี้ต้องสละเวลามาดูบ่อยๆครับเอาเป็นวันนึงต้องมาดู3ครั้ง ครั้งละ20นาที เพื่อสังเกตุอาการวัวในฝูง  ถ้ามาดูน้อยก็ไม่เห็นอาการครับ วัวก็จะพลาดไปแล้วไปอีก 21 มันแปปเดียวครับ
-การใช้แผ่นดูรอบการเป็นสัด  โดยเอาข้อมูลที่จดบันทึกมาดูว่ารอบที่แล้วเป็นวันไหนแล้วในแผ่นจะ+ไปอีก21วันทำให้เราจะคาดเดาได้ว่าวัวจะเป็นสัดอีกทีวันไหน ก็ให้สังเกตุเอา
-การบันทึกข้อมูลลงในคอมแล้วมีโปรแกรมช่วยบวกเพิ่มวันคำนวณว่าจะเป็นสัดรอบต่อไปเมื่อไหร่


2.การใช้หลักการตรวจจับการขึ้นขี่การเป็นสัด Mount Detection Aids
-การใช้แผ่นกามา(Karmar Pressure Sensitive Mount Detector)

โดยใช้หลักการว่าแปะแผ่นถุงบรรจุสีไว้ที่โคนหางวัว  เวลาวัวเป็นสัดแล้ว โดนวัวตัวอื่นไล่ขี่ ถุงสีก็จะแตก ทำให้เราสังเกตุได้ชัดขึ้นครับ  เหมาะกับคนที่มีเวลามานั่งจับสัดได้ไม่บ่อยแต่เขาก็มีการแนะนำวิธีการใช้ให้ได้ผลมากที่สุดดังนี้ครับ  
                 -ขนาดของแผ่นกับตัววัวต้องเหมาะสมกันเช่นถ้าวัวตัวเล็กไปใช้ไซส์ใหญ่ มันขี่กันแทบตายถุงก็ไม่แตกครับ แล้วจะดูยังไง
                 -ต้องจดเลขตัววัวไว้ที่แผ่นด้วยนะครับเผื่อเวลามันทับกันตกหล่นอย่างน้อยก็ยังจำได้ว่าเป็นของวัวตัวไหน
                 -ต้องแปะบนขนที่แห้ง โดยไม่ต้องตัดขนออกนะครับ
                 -อย่าแปะไว้ลึกเข้าไปกลางตัวมากครับตามตำแหน่งในรูปข้างบนกำลังดี  เพราะถ้าลึกมาก วัวคงไม่ขึ้นขี่กันถึงกลางตัวหรอกครับ 
   เขามีการวิจัยครับว่าใช้แล้วได้ผลเพิ่มเปอเซนการตั้งท้องยังไง
Detector status% pregnant
Source: C. Marshall et al. (1978), Proceedings of the Extension-Industry Workshop on Beef Cattle Reproductive Management.
Fully activated67
Partially activated23
Missing51
อันแรกคือแผ่นแตกชัวๆเห็นชัดเปอเซนตั้งท้อง67   อันที่สองคือไม่แน่ใจ 23   อันที่สามคือแผ่นหลุด  51

อาจพบผลบวกลวงได้คือแผ่นถุงสีแตกเพราะวัวคันครับ!!!!!!  หรืออุบัติเหตุต่างๆนาๆในคอกวัวจอมซน




-การใช้สีป้ายTailhead Marking
หลักการเดียวกับแผ่นกามาครับคือเมื่อวัวตัวไหนเป็นสัดก็จะโดนตัวอื่นขึ้นขี่สีก็จะเลอะไปทั้งหลัง เจ้าของสังเกตุเห็นก็นับชั่วโมงผสมเอา    วิธีนี้เหมาะแก่คนที่มีวัวมากๆๆ แต่ต้องมานั่งป้ายสีกันทุก3-4วัน  




-การใช้เครื่องElectronic Mount Detector หลักการคล้ายแผ่นกามาแต่ว่าไม่มีสีครับ แต่ใช้วงจรอิเล็กโทรนิกแปะที่ท้ายวัวตามรูป เพียงแต่วัวที่ถูกขึ้นจะมีการส่งสัญญาณไปที่เสาส่งแล้วถูกเก็บเข้าคอมพิวเตอร์ของเจ้าของ สามารถรู้ได้เลยว่าวัวถูกขึ้นขี่เมื่อไหร่ตัวไหนเป็นตัวขี่  เป็นวิธี่ที่ชัดเจนแม่นยำแต่ราคามาพร้อมกับคุณภาพครับ



-การใช้กล้องวงจรปิด  อันนี้ดีครับแต่  มุมมอง  ระยะ ต้องพอมองเห็นแยกได้ชัดเจนว่าวัวตัวไหนที่มีอาการเป็นสัดชัดเจนและต้องมีเวลามานั่งรีเพลย์ดูเทปทุกวัน




3.หลักการใช้สัตว์ตรวจจับการเป็นสัด   วิธีการนี้ยังมีข้อดีข้อด้อยหลายอย่างครับ และยังขึ้นกับสภาวะสัตว์ที่จะนำมาช่วยในการจับสัดอีก  ดังนัน้การเลือกใช้ขึ้นกับดุลยพินิจเจ้าของ  โดยมีดังนี้ครับ
  
        -การใช้ภาวะMale Effect  คือเมื่อวัวตัวใดเป็นสัดก็ให้สังเกตุการทำพฤติกรรมคล้ายตัวผู้ที่คอยกระโดดไล่ขี่ตัวอื่น ซึ่งวิธีนี้ จะลำบากตรงที่เราต้องมาเจอพอดี หากวัวเข้าสู่ระยะยืนนิ่งก็จบกันครับ
       


-การใช้พ่อวัวที่ตัดท่อนำน้ำเชื้อหรือเบี่ยงลึงค์   สามารถช่วยจับสัดได้ดีครับ โดยพ่อวัวจะมีบอลสีติดใต้คางเวลไปทับตัวเมียตัวไหนก็จะมีสีป้ายแล้วเจ้าของก็สังเกตุว่าวัวตัวเมียตัวไหนมีสีเปรอะหลังบ้าง  แต่ข้อเสียคือวัวที่ทำการตัดท่อน้ำเชื้อก็ยังมีโอกาสเป็นตัวแพร่เชื้อโรคที่ติดต่อจากการผสมพันธ์ในฝูงได้
ให้ดูที่ลึงค์พ่อวัวในรูปที่โดนเบี่ยงทิศทางโดยการผ่าตัดแล้วครับที่มาhttps://themaceplace.wordpress.com/2013/01/05/the-gomer-bull-is-retired-for-this-season/

Chin Ball




สุดท้ายพระเอกของเรื่องครับ คือการใช้ Pedometer

โดยเจ้าเครื่องนี้จะอาศัยหลักการพฤติกรรมการเป็นสัดที่ว่าวัวที่เป็นสัดมักจะมีอาการกระวนกระวาย ชอบเดินไปมา ไม่ยอมนอน  โดยเจ้าเครื่องนี้จะเก็บข้อมูลการเดิน กิจกรรมต่างๆของแม่วัว  และส่งเข้าคอมพิวเตอร์เพื่อหาค่าเฉลี่ยว่าวัวตัวไหนเข้าข่ายจะเป็นสัด  
 ซึ่งในต่างประเทศ มีการใช้เครื่องPedometerกันพอสมควรครับ   ซึ่งเสร็จแล้วพอได้ข้อมูลว่าวัวตัวไหนเข้าข่ายพฤติกรรมว่าจะเป็นสัด  ก็จะมีการตรวจอีกครั้ง ทั้งเรื่องการเฝ้าสังเกตุและการใช้อุลตราซาวด์ตรวจว่ารังไข่มีสภาพพร้อมที่จะผสมหรือไม่
      

   สุดท้าย   การใช้เครื่องมือต่างๆ นั้นจะเหมาะสมกัยเราแบบไหนขึ้นกับว่าเรารู้จักวัวของเราและความชำนาญ สะดวกของเราเป็นยังไงมากกว่าครับ  เพราะเครื่องมือก็คือเครื่องมือแต่ผู้ที่ตัดสินใจก็คือเจ้าของวัวอยู่ดีครับ

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วงรอบๆๆๆ การเป็นสัดในวัว (พื้นฐานการได้ลูกวัว จากการผสมเทียม1)

   
cr.altagenetic.com
    

 การเป็นสัดในโค คือการที่แม่วัวเราพร้อมรับการผสมจากตัวผู้และก็มีพฤติกรรมต่างๆที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเช่นมีอาการกระวนกระวาย อวัยวะเพศบวม  มีน้ำเมือกไหล ไล่ขี่ตัวอื่น และ เรามักได้ยินว่าเฉลี่ยที่21วัน แต่ในความเป็นจริง สามารถเป็นได้19-24วันได้เลยครับ  แต่การที่จะเป็น19วัน หรือ24วันครั้งนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่ ปัญหาคือการเป็นสัดแต่ละครั้งนั้นตรงรอบไหม  รอบแกว่งหรือเปล่า  คือถ้าเป็น19วันก็ควรเป็นสัดทุ19วันตลอดไม่ใช่รอยนี้เป็นสัด19วันถัดมา24วันเป็นสัด แล้วกลับมาเป็นอีก20วัน อะไรแนวนี้  ครับ   ถ้ารอบแกว่งนี่แสดว่าการทำงานของรังไข่ผิดปกติครับ  นอกจากรังไข่ทำงานไม่สมบรูณ์แล้ว ยังทำให้การจับสัดยากไปอีกด้วยครับ  ทีนี้ก็ไม่รู้ว่าจะผสมเทียมกันยังไงเลย   วัวตัวเมียที่เราเห็นๆกันนั้นมีระยะเจริญพันธ์ได้ตั้งแต่อายุ7-18เดือนกันเลยทีเดียวครับ(วัยสาวสะพรั่ง อิอิ)   ดังนั้นก่อนอื่นเรามารู้กันก่อนครับว่าวัวเป็นสัดได้ยังไง มาเข้าวิชาการกันนิดๆครับ
โดยมีท่านผู้รู้ได้ทำตารางแสดงวงรอบการเป็นสัดในสัตว์แต่ละชนิดให้เราดูดังนี้ครับ



        ดังนั้นถ้าดูจากตารางโดยปกติวัวจะมีวงรอบการเป็นสัดเฉลี่ย 20-21 วัน (19-23 วัน) วัวพันธุ์เมืองร้อน (Bos indicus) แสดงการเป็นสัดสั้นโดยเฉลี่ยแสดงอาการเป็นสัด ประมาณ 11 ชั่วโมง และสัดเริ่มแสดงอาการในช่วงเย็นของวัน หลักจากแสดงอาการเป็นสัดแล้วจะเกิดการตกไข่ (Ovulation) โดยประมาณ 25-26 ชั่วโมง ส่วนโคพันธุ์เมืองหนาว (Bos taurus) จะแสดงอาการเป็นสัดที่นานกว่าประมาณ 18 ชั่วโมง และเกิดการตกไข่ประมาณ 28-31 ชั่วโมงหลังการเป็นสัด  ซึ่งที่เป็นแบบนี้เกิดจากช่วงแสงของวันครับที่ต่างกันในแต่ละที่
         วงรอบการเป็นสัดแบ่งเป็น 4 ระยะ ตามลักษณะพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงอวัยวะสืบพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ที่มีความสอดคล้องกัน ซึ่งระยะทั้ง 4 คือ

              1. ระยะก่อนการเป็นสัด (Pro-oesturs)    คือวันที่ 17-20 หลังการเป็นสัด เป็นระยะที่โคเข้าสู่การเป็นสัดรอบใหม่ ระบบสืบพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลง ฟอลลิเคิล (follicle) เจริญอย่างรวดเร็ว คอร์ปัสลูเทียม (corpus luteum) จากการเป็นสัดในรอบที่แล้ว ฝ่ออย่างรวดเร็ว มดลูกมีการเปลี่ยนแปลง มีเลือดเลี้ยงมาก ต่อมสร้างสารคัดหลั่งเจริญขยายตัวในส่วนคอมดลูก (cervix) และช่องคลอด (vagina) โดยช่องคลอดจะบวมแดงมีเมือกใสเหนียวไหลจากช่องคลอดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน
              2. ระยะเป็นสัด (Oesturs) คือ สันที่ 0 ของการเป็นสัด เป็นระยะที่ ฟอลลิเคิลขนาดใหญ่ (dominant follicle) มีการเจริญเติบโตเต็มที่ และเกิดการตกไข่ตามมา (ovulation) โคจะแสดงการเป็นสัดโดยเฉลี่ยประมาณ 4-24 ชั่วโมง และ โคจะแสดงการยอมรับการผสม และยืนนิ่งเมื่อมีตัวอื่นปีน (standing heat)
              ระยะการเป็นสัด โคจะแสดงอาการต่าง ๆ เช่น กระวนกระวาย ถ้าเป็นวัวระยะให้นมจะมีการสร้างน้ำนมลดลง การยืนนิ่งยอมเป็นปีนของตัวอื่น พบเมือกหรือสารคัดหลั่งจากมดลูก คอมดลูก และช่องคลอดมีมากที่สุด เยื่อเมือกของปากช่องคลอดจะแดงมีเลือดคลั่ง
              ในระยะนี้ ระดับฮอร์โมน แอลเอช LH (Luteinzing Hormone) จะเพิ่มขึ้นสูงมากก่อนที่จะตกไข่ ตามมาหลังจากที่แสดงอาการเป็นสัด ประมาณ 30 ชั่วโมง
              การผสมเทียม (AI) ระยะที่เหมาะสมคือ 12-18 ชั่วโมง หลักการยืนนั่ง (standing heat)
              3. ระยะหลังการเป็นสัด (Metoesturs)   คือวันที่ 2-4 ของการเป็นสัด ในระยะนี้โคจะหยุดแสดงอาการเป็นสัด และรังไข่มีการสร้าง คอร์ปัสลูเตียม (Corpus luteum) และเริ่มมีการแสดงฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรน
              ในบางครั้งอาจจะพบว่าเลือดออกมาจากช่องคลอด (Metoestrus bleeding) ได้ในระยะนี้ ปกติพบประมาณ 90% และไม่เกิน 45% ในแม่วัว ซึ่งเป็นลักษณะเมือกปนเลือดพบติดตามหลังหรือบริเวณช่องคลอดด้านนอก
              การพบเลือดจากช่องคลอด ไม่ได้บ่งบอกว่าการผสมพันธุ์ ที่เกิดขึ้นนั้ จะทำให้ผสมติดหรือผสมไม่ติด



              4. ระยะไม่เป็นสัดในวงรอบ (Dioesturs)   คือ วันที่ 5-17 หลังจกาการเป็นสัด เป็นระยะที่ ระยะที่มีคอร์ปัสลูเทียม (CL) เจริญเติบโตเต็มที่มดลูกพร้อมรับการตั้งท้อง มีระดับโปรเจสเตอโรน (progesterone) สูง คอมดลูกปิดมีเมือกเหนียวปิดอยู่ เยื่อเมือกช่องคลอดค่อนข้างซีด
              ในช่วงท้ายของระยะนี้ถ้าโคไม่มีการตั้งท้อง ก็จะมีการสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) จากมดลูก (Uterus) มาสลายคอร์ปัสลูเทียม (CL) หลังจากนั้นก็จะมีการเริ่มขบวนการเป็นสัด (Estrous cycle) ในรอบใหม่ 
     อันนี้กลัวคนอื่นจะงงผมเลยเอาภาพมาให้ดูการเปลี่ยนแปลงของรังไข่ในระยะเวลาช่วงเวลาต่างๆ โดยมีหลายๆภาพให้นะครับเพราะบางคนดูภาพนี้แล้วไม่เข้าใจไปดูอีกภาพถึงจะเข้าใจ แต่ทุกภาพคืออธิบายแบบเดียวกัน
**CR.Genex Cooperative Inc.

เพื่อความจุใจเรามีคลิปวีดีโอมาให้ดูด้วยครับ
1.คลิปของกรมปศุสัตว์ครับ นานมากแล้วคลิปนี้ภาพพอได้ครับ  เนื้อหาใช้ได้ดีเหมือนเดิม  เวลา24นาที ภาษาไทยครับเหมาะกับผู้ที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง


2.คลิปแสดงการเปลี่ยนแปลงของรังไข่ตามระยะวันตามวงรอบ จากpursleylab MSU  อังกฤษล้วนๆครับ  แต่ภาพสวย


 3.คลิปแสดงสรีระวิทยา Physiology ของรังไข่ตามวงรอบการเป็นสัดอธิบายการทำงานของฮอรโมนช่วงต่างๆภาพสวยงาม แต่ภาษาอังกฤษล้วนๆ  หากดูแต่ภาพได้ก็คุ้มครับ คลิปจาก Parnell Veterinary Pharmaceuticals




พยายามจำวงรอบกับช่วงต่างๆให้ได้ครับเพราะจะมีความจำเป็นกับการผสมเทียมมาก


ขอขอบพระคุณแหล่งข้อมูล
Cr.อ.ดร.สรรเพชญ โสภณ  
     



วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

วัวเศร้า น้ำตาไหล.....(วัวดราม่า)

  มีความผิดปกติของวัวจะมาเล่่าสู่กันฟังครับ  ยกตัวอย่างวัวตัวนี้มีอาการน้ำตาไหลมาเป็นปีล่ะ แต่4-5วันมานี้อาการหนัก  ตาปิดมองไม่เห็นตาวัว ดังคำที่ว่าความรักทำให้วัวตาบอด(เอิ่ม โทษทีครับ)
การที่มีน้ำตาไหลมีสาเหตุจาก การระคายเคือง การอักเสบ และขนตาย้อนกลับ การอักเสบของตานั้นมีมีหลายส่วนครับ  จะที่เปลือกตา ตาขาว ตาดำ แผลที่กระจกตา
CR.Biologycorner.com

โดยส่วนมากในวัว น้ำตาไหลมักจะมาจากแมลงครับ  คือแมลงเยอะตอมตาตาระคายเคืองรำคาญเอาตาถูคอกกับราวเหล็กเลย  เด็ดสุดคือเชื้อนี้เป็นเชื้อแบคทีเรียครับเรียก มอเร็กเซลล่า(Moraxella bovis.)  โรคนี้มีอีกชื่อว่าโรคPinkeye หรือ IBK (infectious Bovine Keratoconjunctivitis)  
cr.http://www2.ca.uky.edu/grazer/June12_Pink_Eye.php

ความรุนแรงก็ตามนี้ครับ

ในต่างประเทศเขามีวัคซีนครับ  บ้านเราไม่มีดังนั้นต้องรักษาตามอาการ ตามนี้ครับ
1.ล้างตาด้วยน้ำกลั่นล้างแผล(Irrigated sterilize Water)ขายตามร้านขายยาทั่วไปบางคนจะใช้น้ำเกลือล้างแผลก็พอได้ครับ แต่วัวเขาจะแสบตามากกๆๆๆ ลองคิดถึงเราเอาน้ำมีเกลือพ่นเข้าตาเราเอง
2.ใส่ยาหยอดปฎิชีวนะ มีทั้งแบบขี้ผึ้งหรือเป็นยาน้ำ
         ขี้ผึ้งโคจีติน   ตัวยาคลอแรมเฟนิคอล
       
       ขี้ผึ้งเทอร่ามัยซิน  ตัวยาเตตราไซคลิน



ข้อดียาขี้ผึ้งคือใส่ไปยาจะติดกับที่ลูกตานานครับ   แต่ข้อเสียคืออากาศจะผ่านได้น้อยไม่เหมาะกับพวกมีแผลที่กระจกตาแล้ว  ดังนั้นหากมีแผลหลุมขาวๆที่กระจกตาเรามักไปใช้ยาหยอดตาที่เป็นน้ำกันครับ
       
       ยาหยดตาโพลีออพ
   ยาหยดตาเจนต้าออฟ


ทำทุกวันครับ  ล้างเช้า กลางวัน เย็นได้ก็ดี  แต่ถ้าไม่ว่างเช้าเย็น ก็พอไหว 
3.ฉีดยาOxytetracycline L.A. ขนาด1ซีซี.ต่อน้ำหนักตัวสัตว์10กก.
4.อาจให้ยาจำพวกคลอเฟนิลามีนลดอาการแพ้ได้นะครับ และจะช่วยลดอาการคันได้ด้วย 
5.มียาหยอดตาจำพวกเด็กออฟต้องระวังในการใช้ครับเพราะยาพวกนี้เป็นสเตียรอยด์หากเรามีอาการบวมแพ้ยาตัวนี้ดีครับแต่หากมีการติดเชื้อมีหนอง มีแผลหลุมห้ามใช้ครับ ไม่งั้นเละ เตือนด้วยความหวังดี


ส่วนวิธีลด ป้องกันปัญหา นี้ได้คือกำจัดลดแมลงลงให้มากที่สุดที่จะมากได้
มีคลิปด้วยครับจากNoble Foundation










วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

การฉีดยาในสัตว์และตำแหน่งจิ้มเข็ม(วัว1)

 








จากที่ผมเคยเขียนเกี่ยวกับการเลือกไซริ้งค์และเข็มเรียบร้อยแล้วทีนี้เรามาดูการที่เราจะฉีดยาในสัตว์ กันบ้างครับว่าจะแทงเข็มตรงไหนได้บ้าง ซึ่งขึ้นกับชนิดยาว่าต้องให้เข้าใต้ผิวหนัง  กล้ามเนื้อ หรือ เส้นเลือด โดยขอเริ่มจากในโคก่อนนะครับ  ตำแหน่งที่แทงเข็มจะแบ่งเป็นสีๆดังนี้คับ

จุดสีน้ำเงินคือจุดที่เราจะให้ยาเข้าใต้ผิวหนัง และกล้ามเนื้อ ตรงจุดนี้คือกล้ามเนื้อคอครับ  
การฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง

จุดสีม่วงคือจุดที่ที่เราจะให้ยาเข้าเส้นเลือดครับจะมีเส้นเลือดที่คอ ใบหู เต้านม  โคนหาง
จุดสีเหลืองคือจุดที่เราสามารถให้ยาเข้ากล้ามเนื้อได้  คือบริเวณสะโพก กล้ามเนื้อขาหลัง  แต่ในวัวเนื้อมักจะหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับซากสัตว์หลังเข้าสู่การบ่มซากครับเพราะอาจเกิดเนื้อตายได้
จุดสีแดงคือจุดที่ควรหลีกเลี่ยงการแทงเข็มครับ โดยด้านบนจะติดกับแนวกระดูกสันหลัง  ด้านล่างชิดกับเส้นเลือดเกินไปครับ หากเป็นยาที่สามารถให้เข้าเส้นเลือดได้ก็ไม่เป็นไร แต่หากปักแม่นเอายาฉีดเข้ากล้ามไปเข้าเส้นเลือดเผลอๆงานเข้าครับ

      ในต่างประเทศวัวเนื้อเขาจะฉีดยาแค่ตรงคอครับ จะไม่ฉีดเข้าสะโพกด้านหลังเลย พูดไปเดี๋ยวหาว่าผมไปมั่วเอามาจากไหนดูนี่ล่ะกันครับ



หรือจะตามไปที่ลิ้งค์นี่ได้ครับ https://farmthestart.wordpress.com/tag/herd-health/
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเขากังวลเรื่องยาปฎิชีวนะที่ตกค้างในเนื้อบริเวณที่ทำการฉีดยาครับ เพราะในปัจจุบันเรามักพบ โรคแบคทีเรียที่ดื้อยาปฎิชีวนะหลายๆตัวแล้วและ สืบพบว่าเกิดจากการกินเนื้อสัตว์ที่หยุดยาไม่ถูกวิธี

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

ร้อนมาก.....ขอเป็นลม(แดด)แปป++++!!!!!

       โอ้วววว.....ว....ว....ช่วงนี้อากาศร้อนมากกกๆๆครับ  ไม่ว่าจะสัตว์จะคนนี่ก้อาการย่ำแย่กันเป็นแถว ขนาดคนยังมีตายกันแล้วเลยครับ นับอะไรกะสัตว์ที่พูดไม่ได้ว่าร้อนขนาดไหนแล้ว หนีไปหาห้องแอร์ก็ไม่ได้  แต่ยังดีครับที่เรายังสังเกตุอาการได้   ว่ามีภาวะความผิดปกติต่างๆ  ผมจะเอาวีดีโอมาให้ดูครับว่าเวลาเขาหอบจะเป็นยังไง
ในวัว



อาการของทุกสัตว์เลยก็มักมีอาการแบบนี้นะครับ
-หอบ
-น้ำลายไหล
-เหงือกเป็นสีแดงถ้าขาวนี่คือใกล้ช็อคล่ะ
-หัวใจเต้นเร็ว
-อาการอาเจียนไม่ค่อยพบในวัวนะครับ แต่ในหมาแมวมักเป็นกัน
-หากเป็นหนักมากๆจะเดินขาอ่อนแรง ไม่สัมพันธ์กัน
-ท้องเสีย
-ชัก
   
 อากาศที่ร้อนจัดอยู่แล้วหากเจอความร้อนที่เกิดจากอาหารที่กินเข้าไปโดยเฉพาะพวกแป้ง ไขมัน จะยิ่งทำให้เกิดความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้นครับ  ซึ่งปัญหานี้มักพบในสัตว์ที่ใช้กระเพาะหมัก  แต่เขาจะแก้โดยการให้อาหารจำพวกอาหารหยาบเพิ่มแทนและ  เปลี่ยนเวลาให้อาหารข้นในช่วงเย็นๆหรือเช้ามืดที่แดดไม่แรงครับ
     แต่หากดูจากพฤติกรรมก็สังเกตุได้ครับคือเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเขาก็จะหาที่เย็นๆเช่นใกล้น้ำโดยไปยืนใกล้ๆ  หรือก็ลงไปเลย




การลดอุณหภูมิที่ดีที่สุดคือการให้น้ำอย่างเพียงพอ  มีร่มเงาให้สัตว์หลบ  เปิดพัดลมช่วยระบายอากาศเพราะเมื่อลมพัดผ่านผิวหนังก็จะพาเอาความร้อนออกไปได้บ้างคับ แต่เนื่องจากสัตว์เกือบทุกชนิดไม่มีต่อมเหงื่อที่ผิวหนังยกเว้นม้ากะฮิปโปที่มีเหงื่อออกระบายความร้อนได้      ทำให้การระบายความร้อนจากร่างกายจึงมักพึ่งทางลมหายใจกับการแลกเปลี่ยนอุณหภูมิของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงผิวหนังกับสภาพแวดล้อมมากกว่า ดังนั้นหากจะทำอะไรกับตัวสัตวืในช่วงที่อากาศร้อน จะไปจับ บังคับ หลีกเลี่ยงการมัดปาก หรือครอบปากนะครับ เพราะถ้าเขาระบายความร้อนไม่ทัน หายใจไม่ทันอาจเกิดภาวะช็อคได้ ทีนี้หากเราเจอสัตว์ที่อาการแบบว่าไม่ไหวแล้วเอาพัดลมเป่า ก็แล้ว พาไปยืนใต้ร่มไม้ก็แล้วยังหอบอยู่ที่นี้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็นไปเลยครับ  ซึ่งตรงนี้มีหลายสูตรมาก บางคนบอกกลัวช็อคเพราะใช้น้ำเย็นจัดเส้นเลือดที่ผิวหนังจะหดตัวการระบายความร้อนจะยิ่งแย่ลง  บางคนบอกไม่ทันล่ะยังไงต้องรีบลดอุณหภูมิให้เร็วที่สุดก็ต้องทำล่ะ    อันนี้นานาจิตตังครับ ถึงหน้างานเราจะรู้เองว่าควรทำอะไร  อย่าลืมเป่าพัดลมด้วยครับ  เพื่อให้มีการหมุนเวียนอากาศ  แต่การระบายความร้อนก็สัมพันธ์กับความชื้นในอากาศด้วยครับโดยเฉพาะกับสัตว์  สังเกตุได้ว่าหากอากาศที่ฝนตกหลังแดดออกแปปเดียว จะร้อนมาก  เนื่องจากความชื้นในอากาศสูงทำให้การระบายความร้อนที่อาศัยน้ำที่ออกมากับลมหายใจช่วยพาความร้อนออกนั้นจะไม่ค่อยดี ซึ่งการลดควาชื้นในอากาศต้องเพิ่มการหมุนเวียนของอากาศ(increase ventilation)ครับ



บางทีก็อาจจะต้องมีการให้น้ำเกลือช่วยด้วยครับเพื่อรักษาแรงดันเลือดกันช็อค  ไตวาย  หรือช่วยลดอุณหภูมิได้อีกทางนึง  


วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

ว่าด้วยเรื่องการฉีดยาสัตว์ ระดับอนุบาล2(จะเลือกใช้เข็มฉีดยายังไงดีน้าาา)

    การฉีดยาเราจะมีแต่ไซริ้งค์(กระบอกฉีดยา)อย่างเดียวไม่ได้นะค้าบบบ  ต้องมีเข็มด้วย  เอาไว้ทิ่มแทง แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ (อันนี้ไม่ใช่)   เอาไว้ทิ่มผ่านผิวหนังแล้วจะปล่อยยาตรงตำแหน่งไหนขึ้นกับชนิดยาครับ  โดยมีช่องทางการทิ่มแทงให้ยาหลักๆ ดังนี้
-ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง(Subcutaneous  Injection)  
-ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ(Intramuscular Injection)
-ฉีดเข้าเส้นเลือด(Intravenous  Injection)

     เดี๋ยวตำแหน่งที่เราจะจิ้มเข็ม  ค่อยคุยกันในตอนหน้าครับ  จะพยายามรวบรวมให้ได้ทุกสัตว์ เลย  แต่เรามารู้จักเข็ม  กันก่อนครับว่ามันมีกี่แบบ แล้วไอ้ที่เป็นตัวเลขด้านหลังนั่น เราจะใช้ประโยชน์กับมันยังไงมาดูส่วนประกอบเข็มกันค้าบบ
เข็มฉีดยามีชนิดที่หัวเข็มทำด้วยเหล็กสเตนเลส หรือเข็มพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ส่วนประกอบของเข็ม กระบอกฉีดยา มีอยู่3 ส่วน คือ
1. รอยบากปลายเข็ม (Bevel)
2. ตัวเข็ม (Shaft) คือส่วนที่ต่อจากตัวเข็ม
 3. หัวเข็ม (Hub) ใช้สวมติดกับปลายกระบอกฉีดยา
*** การฉีดยา ส่วนของเข็มฉีดยาที่ต้องรักษาไว้ปราศจากเชื้อ คือ บริเวณรอยบากปลายเข็มและตัวเข็มเพราะถ้าไปจับตรงตัวเข็ม มือเราไม่สะอาดมันจะพาเชื้อเข้าไปในตัวสัตว์ได้ครับ บางทีเป้น ฝีหนอง  กันเลยทีเดียว
เข็มพลาสติกใช้กับไซริ้งค์พลาสติก

  
ทีนี้เรามาดูกันครับว่า เลขที่มีบอกอะไรเราได้บ้าง  สาธุๆๆ  ตรงๆๆ บนๆล่าง โต้ดด  ...........





ถ้าดูในรูปจะเห็น  เลข   18Gx1" และมีเลขในวงเล็บด้านล่าง(1.2x25mm)
18G คือขนาดเบอร์รูเข็ม หากค่านี้มากรูจะยิ่งเล็ก   หากค่านี้น้อยรูจะยิ่งใหญ่ 
1"     คือขนาดความยาวตัวเข็ม หน่วยเป็นนิ้วครับ

       หากเรายังสงสัยว่าแล้ว18G x1"นี้มันรูขนาดไหนยาวขนาดไหน เขาก็มีวงเล็บด้านล่างบอกครับ  ว่ารูเนี่ยมันมีเส้นผ่าศูนย์กลาง1.2มิลลิเมตร   ยาว1นิ้วก็เท่ากับ25มิลลิเมตร
       ซึ่งเข็มพลาสติกหรือเข็มแสตนเลสก็จะมีค่าให้เราดูกันครับ ไว้ให้เราเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน  หรือตำแหน่งที่จะเจาะ  ทิ่ม แทง  เข้าไป เอิ้กๆๆ     ส่วนพวกเข็มสแตนเลสนั้น บางทีจะมีตัวเลข3/4 อะไรแนวนี้ให้งงว่าแล้วมันยาวเท่าไร ไม่ต้องงงครับ พระเอกให้ตัวช่วยมาล่ะ
หน่วยความยาวในงานอุตสาหกรรมในบ้านเรา นอกจาก หน่วย มิลลิเมตรแล้ว ก็ยังมีการใช้หน่วย นิ้ว บ้างเหมือนกัน
        1              นิ้ว                          เท่ากับ                    25.4        มิลลิเมตร
 1              นิ้ว                          มี                              8              หุน
เพราะฉะนั้น        1              หุน                         เท่ากับ                    1/8          นิ้ว
2              หุน                         เท่ากับ                    1/4          นิ้ว
4              หุน                         เท่ากับ                    1/2          นิ้ว
6              หุน                         เท่ากับ                    3/4          นิ้ว
                                                   3              หุน                         เท่ากับ                    3/8          นิ้ว

ทีนี้เราก็จะรู้ความยาวล่ะครับ  ส่วนการเลือกใช้ นั้นขึ้นกับตัวสัตว์เลยครับ  ชนิด อายุ  ยาที่ใช้  ตำแหน่งที่จะปล่อยยา
     ยกตัวอย่างหากว่าเราจะฉีดยาวัวเข้ากล้ามใช้เข็มเบอร์23Gx1" ปักไปคาดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ  หากว่าโคตั้วนั้นนิ่งก้ไม่มีปัญหา แต่หากวัวตัวนั้นเป็นพญาวัว ไม่เคยมีผู้ใดมากล้ำกรายเข้าใกล้ปักเข็มปึ้ง  โดดคอกแตก เข็มเบอร์23ที่คาดว่าเข็มน้อยๆวัวน่ารักๆจะได้ไม่เจ็บ ทนแรงกำลังภายในวิชาอรหันต์ร่างทอง ของพญาโคไม่ได้  ก็หักเป๊าะฝังไปในกล้ามเนื้อวัวตัวนั้นประดุจดั่งฝังเหล็กไหล เพียงแต่นี่ไม่ไหล  แล้วซ้ำร้ายต้องมานั่งหาทางเอาออกอีก  แต่ปัญหาที่ผมโม้ให้ฟังจะไม่มีถ้าเราใช้เข็มเบอร์18Gx1"ดิ้นยังไง ก็ไม่หักคาคับยกเว้นว่าสุดๆจริงๆเต็มที่คือแค่งอ  พออ่านถึงตรงนี้บางคนคิดว่าโอ้ววว...เข็มเบอร์18Gนี่แข็งแรงทนทานรูใหญ่ ปล่อยยาไว ไฉนเลยเราก็ควรเอาเบอร์นี้ล่ะไปฉีดยากับทุกสรรพสัตว์  ว่าแล้วก็เอาเข็มเบอร์18G ไปปักหน้าอกเป็ดที่ป่วยอยู่  ทุกคนคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ  ใช่ครับมันอาจจะฉีดได้แต่มันก็ทารุณสัตว์มากไป  เราก็ควรใช้เบอร์23ไม่ดีกว่าเหรอ
      ชนิดยาที่ใช้ก็มีผลครับ ยาที่ส่วนประกอบน้ำมันจะหนืดมากดังนั้นเวลาจะให้ยาต้อง-ขนาดเบอร์เข็มไปอีกสัก2-3เบอร์เลย เช่นฉีดยาทั่วๆไปในแพะแกะเราใช้เข็มเบอร์22-23 แต่พอจะฉีดยาถ่ายพยาธิที่หนืดๆเราก็ใช้เบอร์21 แนวๆนี้ครับ
   

       สุดท้ายเข็มพวกนี้หากใช้บ่อยๆความคมจะหายครับ ตามภาพลองจินตนาการ เราใช้เข็มซ้ำๆแล้วเอามาแทงตัวเองแต่ไม่เข้า ฮ่าาาาาา


วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558

ว่าด้วยเรื่องการฉีดยาสัตว์ ระดับอนุบาล1 (ไซริ้งค์)กระบอกฉีดยา

    สัตว์เลี้ยงของเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตครับ  ดังนั้นย่อมต้องหนีเทวทูตทั้ง4ไม่พ้น นั่นคือเกิด  แก่ เจ็บ  ตาย  ทีนี้เรามาดูกันว่าตอนเจอการเจ็บป่วย สิ่งที่เราต้องทำคือการรักษา  การรักษานั้นมีต้องมีช่องทางการให้ยาทีนี้จะคุยเรื่องการฉีดยาก่อนนะครับ  การฉีดยานั้นจะมีช่องทางหลักๆดังนี้ครับ
    ฉีดยาเข้ากล้าม
   ฉีดเข้าเส้นเลือด
   ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

แต่ก่อนที่เราจะไปดูว่าฉีดยังไงไปดูก่อนว่า  ไซริ้งค์(Syringe)กับเข็ม(Needle)นั้น ที่มันมีตัวเลขมีสีนั้น สำคัญยังไง เพราะเขาคงไม่แถมมาให้เราเอาไปตีเป็นเลขหวยแน่ๆ
ไซริ้งค์หรือที่เราเรียกว่ากระบอกฉีดยานั้นมีหลายแบบมากครับ มีทั้ง ใช้ทีเดียวแล้วทิ้ง หรือแบบนำกลับมาใช้ใหม่ได้  ซึ่งการนำมาใช้กับสัตว์นั้นให้ดูตามความเหมาะสมกับงาน  ชนิดยา  ชนิดสัตว์  ครับ เพราะปัจจัยที่มีมากมายเราเลยมีตัวเลือกเยอะมาก  แต่หลักการเลือกพอคุยๆคร่าวๆแบบงูๆปลาๆดังนี้ล่ะกันครับ
เราจะเลือกใช้ไซริ้งค์  หรือกระบอกฉีดยา ยังไงดีน้าาา? 
ปริมาณยา   เราต้องเลือกใช้ขนาดไซริ้งให้เหมาะสมกับปริมาณยาที่เราจะฉีดให้แก่สัตว์นั้นครับ  ลองจินตนาการถ้าเราจะเอาไซริ้งค์ที่ความจุ5ซีซีไปฉีดยาวัวพ่อพันธ์ุที่ต้องใช้ยา40ซีซี  เท่ากับเราต้องมานั่งดูดยา8รอบเลยครับ พอดีวัวก้นพรุนพอดี  แต่ถ้าเราใช้ไซริ้งค์20ซีซีเราฉีดแค่2รอบเอง  อันนี้เป็นการยกตัวอย่างนะครับ  หรือถ้างั้นมีคนบอกมาว่างั้นเราใช้ไซริ้ง20ซีซีตลอดเลยล่ะดีไหม  ยาบางตัวใช้น้อยมากครับเช่นยาสลบในวัวต้องคำนวณ  เป็นหลัก0.?ซีซีเลย  พลาดไปหลับยาวเลย ดังนั้นอาจต้องใช้ไซริ้งค์ที่ละเอียดกว่านั้นครับ
ไซริ้งค์ขนาด1ซีซี

ชนิดยา  ยาบางตัวกัดพลาสติกครับ  เช่นวิตามินบางชนิด  ใช้ทีเดียวไหลออกมาโดนด้านนอกตัวเลขหายหมดเลยคร้าบบบบ  หรือไม่ก็กดไม่ลงเลย  เพราะยากัดพลาสติกไปแล้ว  ดังนั้นก็ต้องดูชนิดยาด้วยครับ
ชนิดสัตว์  อันนี้ไม่ต้องพูดมากล่ะมั้งครับ ง่ายๆเลยเอาเป็นว่าเอาไซริ้งค์20ซีซีมาฉีดกระต่ายก็คงกะไรๆอยู่
        ไซริ้งค์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งนี่ มีแบบล็อคหัวได้  กับแบบล็อคหัวไม่ได้นะครับ  การเลือกใช้ก็อยู่ที่ว่าสไตล์การฉีดยาเป็นแบบไหน  ถ้าในสัตว์ใหญ่เขามักจะปักเข็มลงไปก่อนแล้วค่อยเอาไซริ้งค์มาเสียบแล้วเดินยา ครั้นจะใช้แบบล็อคหัวเข็ม(มันจะเป็นเกลียวที่ปลายหัว)ก็ต้องมานั่งหมุน พอดีวัวดิ้นหลุด ปักใหม่ หมุนใส่ ดิ้นหลุด  เป็นแบบนี้ตามวัฎจักร มือใหม่  เราก็แก้โดยใช้แบบไม่มีหัวล็อคจะได้เสียบเข็มได้เลย แล้วใช้การพริ้วไหวของมือบังคับไซริ้งค์เอาไม่ให้เข็มหลุด  เหมือนฝึกวิชาฝ่ามือเมฆาล่องลอย (นอกเรื่องแปป)
ไซริ้งค์แบบไม่ล็อคหัวไซริ้งค์แบบล็อคหัว





 นอกจากนี้ก็ยังมีไซริ้งค์แบบนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เรามักเรียกว่าไซริ้งค์ไนล่อน ไซลิ้งค์เข็มกระแทก(คาดว่ามาจากพฤติกรรมการใช้ตอนปักฉีดวัคซีน) ซึ่งก็มีหลายขนาดให้เลือกใช้ตัวไซริ้งค์เป็นพลาสติกหนา  มีแหวนยางโอลิ้งกันยาซึม(แต่ถ้าเสื่อมเมื่อไหร่ก็จบกัน)  ปลายหัวเป็นเหล็กเงางาม ก้านเป็นเหล็ก มีด้ามจับกระชับมือ ควรค่าแก่การรักษา ราคาก้แพงกว่าไซริ้งค์ที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง  ไซริ้งค์แบบนี้มักนำมาใช้ในการฉีดวัคซีนเพราะจะเอามาใส่กะเข็มเหล็กที่ขนาด3/4 เพื่อปักทีเดียวทะลุถึงหัวใจ เอ้ยไม่ใช่ ทะลุใต้หนังพอดี เร็วดีด้วย ไม่หลุดมือง่ายๆ แต่บางทีก็นำมาฉีดยาทั่วๆไปครับ ไม่ว่าจะเป็นยาบำรุง ยาปฎิชีวนะ ยาถ่ายพยาธิ  ซึ่งก็ดีตรงที่เร็วดี แบบทิ่มเต็มที่ กดทีเดียว  ทำนองนี้แต่ปัญหาคือถ้าไม่สะอาด หรือยาเก่าที่ล้างไม่หมดแล้วใส่ยาตัวอื่นเข้าไปยาอาจทำปฎิกริยากันตกตะกอน เสียหายได้  ดังนั้นการใช้ไซริ้งค์แบบนี้ให้คำนึงถึง การปนกันของยา ความสะอาดให้มากครับ
ไซริ้งค์ไนล่อน


นอกจากนี้ก็ยังมีออโตไซริ้งค์ ซึ่งไซริ้งค์แบบนี้มักใช้ในการที่ต้องให้ยาขนาดเดียวกันแก่สัตว์ที่ปริมาณมากๆๆเช่นให้วัคซีนในไก่ ลูกหมู ครั้นจะมานั่งดึงยาทีละเข็มเปลี่ยนไซริ้งค์ทีละอันไก่เป็นพันๆตัวฉีดข้ามวันแน่เลยครับ โดยไซริ้งค์แบบนี้จะตั้งปริมาณการให้ยาได้ เรามีหน้าที่จิ้มแล้วกดอย่างเดียวครับ ยาจะถูกเติมมาทางสายยางตลอด ทีนี้กดกันเพลินเลย  แต่ข้อเสียคือหากจะเปลี่ยนยาที่จะฉีดทียุ่งยากเอาเรื่องเลย ดังนั้นเขาจึงใช้กับการให้วัคซีนมากกว่าครับ
        สรุปว่า ใครใคร่ใช้ ถนัดอย่างไรก็ตามสบายครับ ขึ้นกับความถนัดเฉพาะบุคคล  เพราะไซริ้งค์เป็นแค่อุปกรณ์ที่ไว้เก็บกักยาไว้ข้างใน แต่สัตว์จะหายไม่หาย การรักษาจะประสพผลสำเร็จหรือไม่ขึ้นกับคนที่ถือมันมากกว่าครับ
        คราวหน้ามาคุยกันเรื่องเข็มต่อนะครับ ใครอยากให้เพิ่มอะไรติชมตรงไหนบอกนะครับบบ